ยังคงโดนคว่ำบาตรแบบไม่มีกำหนด สำหรับ สหภาพฟุตบอลรัสเซีย (RFU) ที่โดน สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) และ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ร่วมกันมีมติคว่ำบาตร ฟุตบอลทีมชาติรัสเซีย และ สโมสรฟุตบอลที่มาจากประเทศรัสเซีย ออกจากการแข่งขันทั้งในระดับสโมสร และ ในระดับทีมชาติ จากกรณีที่ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย สั่งให้กองทัพบุกเข้าโจมตีรุกราน ประเทศยูเครน จนมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และในขณะนี้ ยังไม่มีทีท่าว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายขึ้นแต่อย่างใด
จากเหตุการณ์ที่ สหภาพฟุตบอลรัสเซีย (RFU) โดนคว่ำบาตรนี้ ทำให้ ทีมชาติรัสเซีย หมดสิทธิ์ไปต่อกับการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 โดยในการแข่งขันคัดเลือกโซนยุโรป รอบเพลย์ออฟ กับ ทีมชาติโปแลนด์ เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมนั้น มีมติให้ ทีมชาติโปแลนด์ เข้ารอบไปโดยไม่ต้องทำการแข่งขัน รวมถึงการแข่งขันในระดับสโมสร ทีมสปาร์ตัก มอสโก ของรัสเซีย ก็โดนปัดให้ตกรอบจากรายการ ยูฟ่า ยูโรปาลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ทำให้ ทีมแอร์เบ ไลป์ซิก จากเยอรมัน เข้ารอบไปโดยไม่ต้องทำการแข่งขันเช่นกัน นอกจากนี้ สโมสรจาก รัสเซีย ยังชวดในการแข่งขันรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก อีกด้วย แม้ทาง RFU จะได้ยื่นคำร้องขออุทธรณ์คำสั่งจาก FIFA และ UEFA ไปยัง ศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา (CAS) ก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจาก CAS ได้สั่งให้ยึดตามคำสั่งเดิมของทาง FIFA และ UEFA ตามเดิม
ซึ่งมีการเคลื่อนไหวล่าสุดของทาง สหภาพฟุตบอลรัสเซีย (RFU) โดยสื่อชื่อดังของประเทศอังกฤษ Daily Mail ได้รายงานโดยอ้างอิงจาก สื่อท้องถิ่นของ รัสเซีย อย่าง Championat ว่า ทาง RFU กำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ถึงการย้ายโซนทวีปในการแข่งขันฟุตบอล ทั้งในระดับทีมชาติ และในระดับสโมสร ซึ่งปัจจุบัน รัสเซีย เป็นสมาชิกของ สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) โดยจะขอย้ายออกจากการเป็นสมาชิกของ UEFA และจะโยกย้ายไปยัง โซนทวีปเอเชีย โดยขอยื่นแสดงความจำนงสมัครเป็นสมาชิกของ สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (AFC) แทน ซึ่งจะมีการร่วมกันพิจารณาของ เจ้าหน้าที่ RFU และผู้มีชื่อเสียงในระดับสูง ถึงผลดี ผลเสีย ของแผนการนี้ และแนวโน้มความเป็นไปได้อีกครั้ง
ซึ่งทาง Championat ได้ระบุเพิ่มเติมว่า หากเป็นไปตามแผนการนี้ ทีมชาติรัสเซีย ก็จะต้องทำการแข่งขันในรายการ ฟุตบอลโลก ในรอบคัดเลือก ในโซนเอเชีย แทน โซนยุโรป รวมไปถึงต้องเข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติเอเชีย อย่างรายการ เอเชียน คัพ อีกด้วย และนอกจากนี้ ในการแข่งขันรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็จะต้องเปลี่ยนมาแข่งในรายการ เอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก และการแข่งขันรายการ ยูโรปา ลีก ก็จะต้องเปลี่ยนมาแข่งในรายการ เอเอฟซี คัพ แทน ซึ่งในภายหลัง อังเดร แคนเชลสกี้ อดีตปีกชาวรัสเซีย ของ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วัย 53 ปี ได้แสดงความคิดเห็นจากข่าวของทาง Championat ว่า “ เราจะย้ายไปยัง สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย อย่างงั้นหรือ? ผมไม่แน่ใจเอามากๆ ว่าเราจะสามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆ ”
อย่างไรก็ตาม ทางสื่อทั้งสองสำนัก ได้รายงานเพิ่มเติมอีกว่า การที่ สหภาพฟุตบอลรัสเซีย (RFU) จะย้ายเข้าไปเป็นสมาชิกของทาง สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (AFC) นั้น จะต้องได้รับฉันทามติเห็นชอบจากเหล่า สมาชิกของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งชาติต่างๆในเอเชีย เสียก่อนด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ RFU จะทำได้อย่างพลการ และต้องใช้ระยะเวลานานมากกว่าจะทราบผลการอนุญาต หรือ ไม่อนุญาตด้วย
ซึ่งในอดีตนั้น ก็เคยมีเหตุการณ์กรณีคล้ายๆกันนี้มาแล้วหลายครั้ง ตัวอย่างเช่น สมาคมฟุตบอลอิสราเอล (IFA) ซึ่งเคยเป็นสมาชิกของทาง สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (AFC) ระหว่างปี 1954-1974 และขอย้ายไปสมัครเป็นสมาชิกใหม่ของทาง สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) ในปี 1992 และได้รับอนุมัติอย่างเต็มตัวในอีก 2 ปีถัดมา สาเหตุอันเนื่องมาจาก อิสราเอล โดนสมาชิกจากชาติอาหรับ พร้อมใจกันประกาศคว่ำบาตร จากสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมือง และ ความขัดแย้งทางการทหาร ระหว่างชาติอาหรับ และ ประเทศอิสราเอล ซึ่งทำให้หลังจากย้ายโซนทวีป ทีมชาติอิสราเอล และ สโมสรจากประเทศอิสราเอล ได้ลงทำการแข่งขันในโซนทวีปยุโรปนับตั้งแต่นั้นมา
และในกรณีของ สหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย ในขณะนั้น ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น ฟุตบอลออสเตรเลีย (Football Australia ) ในภายหลัง เมื่อปี 2005 ได้มีความต้องการที่จะยกระดับมาตรฐานของ ทีมชาติออสเตรเลีย ให้มีความก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ โดยแต่เดิมพวกเขาเป็นสมาชิกของ สหพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย (OFC) ได้มีการประชุมหารือระหว่าง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นักวิจารณ์ นักฟุตบอลชื่อดัง รวมไปถึงแฟนบอล ถึงการขอสมัครเป็นสมาชิกของทาง สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (AFC) ซึ่งสุดท้าย การประชุมเป็นที่ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย โดย ทาง สหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย ในขณะนั้น ได้ทำการยุติการเป็นสมาชิกกว่า 40 ปีกับทาง OFC และได้ยื่นสมัครเข้า AFC ในกลางปี 2005 ก่อนที่ทาง AFC จะอนุมัติการเข้าเป็นสมาชิกของ สหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย ที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ฟุตบอลออสเตรเลีย เมื่อมกราคม ปี 2006