เควิน เดอ บรอยน์ (Kevin De Bruyne) สุดยอดกองกลางที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดในวงการลูกหนัง ณ ขณะนี้ เขาเกิดและเติบโตที่เมือง โดรงเงิน ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1991 ด้วยความเป็นเด็กขี้อาย และชอบเก็บตัว ทำให้ เดอ บรอยน์ ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก เขาจึงทุ่มเทเวลายามว่างไปกับการเล่นฟุตบอล และฟุตบอลนี่เอง ที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปจากเดิมจากเด็กที่ขี้อายกลายเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้นำและมีความมุ่งมั่นสูง และจุดเริ่มต้นในเส้นทางลูกหนังของเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เควิน เดอ บรอยน์ สมัยเป็นนักเตะเยาวชน
เควิน เดอ บรอยน์ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลในชุดเยาวชนของสโมสร กาเฟเฟ่ โดรงเงิน (KVV Drongen) สโมสรในบ้านเกิด เมื่อปี 1997 ในขณะนั้นเขาอายุได้เพียง 6 ขวบ จนเมื่อปี 1999 เขาได้ย้ายไปยังทีมเยาวชนของสโมสร เคเอเอ เกนต์ (KAA Gent) และค้าแข้งให้กับที่นั่นเป็นระยะเวลาถึง 6 ปี จนในปี 2005 เขาได้ย้ายไปยังทีมเยาวชนของสโมสร เคอาร์ซี เคงก์ (KRC Genk) ด้วยวัย 14 ปี และด้วยสโมสรมีนโยบายให้นักเตะที่มาจากต่างถิ่น ต้องอยู่กับ โฮสต์ แฟมมิลี่ เพื่อให้นักเตะเยาวชนทุกคนได้คลายเหงาที่ต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่เนื่องด้วย เดอ บรอยน์ เป็นเด็กที่ชอบเก็บตัวจึงทำให้เขาเข้ากับ โฮสต์ แฟมมิลี่ ไม่ได้ จึงทำให้เขาประสบปัญหาในเรื่องของการใช้ชีวิตต่างถิ่น และกลายเป็นเรื่องฝังใจเขามาโดยตลอด แต่ เดอ บรอยน์ ก็ไม่ได้ปล่อยให้ปัญหาที่เขาต้องประสบมาทำลายความฝันของเขาได้ เขายังคงมุ่งมั่น ฝึกซ้อม และทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจอย่างหนัก จนในปี 2008 ในขณะที่เขาอายุได้ 17 ปี เขาก็ได้รับคัดเลือกให้ก้าวเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ของ เคอาร์ซี เคงก์ ได้ในที่สุด

เควิน เดอ บรอยน์ กับสโมสรฟุตบอลอาชีพ
หลังจากที่เขาได้ก้าวเป็นนักเตะชุดใหญ่ของ เคอาร์ซี เคงก์ ในปี 2008 ด้วยวัยเพียง 17 ปี แม้จะเปิดตัวกับสโมสรได้ไม่สวยนัก แต่ในภายหลัง เดอ บรอยน์ ก็โชว์ฟอร์มขั้นเทพ จนเป็นนักเตะกำลังหลักของทีม และได้รับการขนานนามว่า เขาคือดาวรุ่งคนใหม่ของวงการฟุตบอลเบลเยียมเลยทีเดียว โดยเขาทำประตูให้กับ เคอาร์ซี เคงก์ ไปทั้งหมด 6 ประตู กับอีก 17 แอสซิสต์ และเป็นนักเตะคนสำคัญที่พาทีมคว้าแชมป์ เบลเยียม โปรลีก ฤดูกาล 2010-11 มาครองได้สำเร็จ
หลังจากค้าแข้งกับสโมสรฟุตบอลอาชีพในลีกบ้านเกิด เบลเยียม ไปกว่า 3 ปี ในปี 2012 เดอ บรอยน์ ได้เบนเข็มการค้าแข้งของเขามาที่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยได้รับการทาบทามจากสโมสรยักษ์ใหญ่จากเมืองหลวงอย่าง เชลซี และได้ทำการเซ็นสัญญาตกลงเป็นนักเตะให้กับ ทัพสิงห์บลู ในตลาดนักเตะหน้าหนาว เดือนมกราคม ปี 2012 แต่อย่างไรก็ตาม เดอ บรอยน์ จะยังคงลงสนามแข่งขันให้กับ สโมสรเคอาร์ซี เคงก์ ไปจนจบฤดูกาล 2011-12 และหลังจากขึ้นฤดูกาลใหม่ เขาก็ยังไม่สามารถแย่งตำแหน่งนักเตะตัวจริงของทีมมาได้ เนื่องจาก เชลซี มีนักเตะระดับท็อปฟอร์มอยู่มากมายหลายคน เขาจึงถูก เชลซี ส่งไปเป็นนักเตะตัวยืมให้กับสโมสร เอสเฟา แวร์เดอร์ เบรเมิน (SV Werder Bremen) สโมสรในบุนเดสลีกา ลีก เยอรมัน ในฤดูกาล 2012-13

และที่สโมสร เอสเฟา แวร์เดอร์ เบรเมิน นี่เอง ทำให้ เดอ บรอยน์ ได้แจ้งเกิด เนื่องจากเขาสามารถระเบิดฟอร์มออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเขาลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับทีมถึง 33 นัด และทำประตูได้ถึง 10 ประตูด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม แม้ผลงานของเขาจะยอดเยี่ยมและดีขึ้นแค่ไหน โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมเชลซีในสมัยนั้น ก็มองว่า เดอ บรอยน์ มีศักยภาพไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับนักเตะคนอื่นๆที่เล่นในตำแหน่งเดียวกันกับเขา เขาจึงโดน เชลซี ขายให้กับสโมสรเฟาเอฟแอล โวล์ฟบวร์ค (VfL Wolfsburg) สโมสรในบุนเดสลีกา ลีก เยอรมัน ในปี 2014 ด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ ซึ่ง โวล์ฟบวร์ค เฝ้ามองการเล่นที่ยอดเยี่ยมของเขา มาตั้งแต่เขาค้าแข้งให้กับ แวร์เดอร์ เบรเมิน ก่อนหน้านี้แล้ว
และเขาก็ไม่ทำให้ทีมผิดหวัง เขาสามารถพาทีมคว้ารองแชมป์บุนเดสลีกาลีก ต่อเนื่องด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ในรายการ เดเอฟเบ โพคาล หรือ เยอรมัน คัพ ในฤดูกาล 2014–15 โดยเขาลงสนามให้กับ โวล์ฟบวร์ค ไป 51 นัด สามารถทำประตูไปได้ถึง 16 ประตู ด้วยฟอร์มอันเฉียบคมเช่นนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล ผู้เล่นดีเด่นประจำปีของบุนเดสลีกาลีก และ รางวัล ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมัน ไปครองได้อีกด้วย
ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นนี้ ในปี 2015 สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้คว้าตัวของ เควิน เดอ บรอยน์ ไปเสริมทัพ ด้วยค่าตัวกว่า 55 ล้านปอนด์ แม้ในฤดูกาลแรกที่เขาได้เข้ามาค้าแข้งยังถิ่น เอทิฮัด จะยังไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆมาได้ แต่ผลงานส่วนตัวของเขาก็โดดเด่นอย่างมาก โดยเขาสามารถทำประตูให้ทีมไปกว่า 16 ประตู กับอีก 13 แอสซิสต์ จนในฤดูกาลต่อมา 2016-17 เป๊บ กวาร์ดิโอล่า ได้เข้ามารับหน้าที่ผู้คุมบังเหียนของ ทัพเรือใบสีฟ้า และ เป๊บ นี่เอง ที่เป็นผู้ขับเคลื่อนให้เครื่องสังหารคู่ต่อสู้อย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ได้เริ่มเดินเครื่อง โดยในฤดูกาลนี้ เดอ บรอยน์ ทำแอสซิสต์ให้ทีมไปถึง 18 ครั้ง และโชว์ฟอร์มที่เฉียบคม โดดเด่นให้กับทีมอย่างต่อเนื่อง

จนเข้าสู่ในฤดูกาล 2017-18 เดอ บรอยน์ ประสบความสำเร็จกับทัพเรือใบสีฟ้าอย่างมาก โดยเขาเป็นส่วนสำคัญที่พาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้อย่างสำเร็จ ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยฟอร์มอันร้อนแรงดังเครื่องจักรสังหารคู่ต่อสู้ ทำให้เขาได้รับรางวัลต่างๆมากมาย อาทิ รางวัล UEFA Team Of The Year , รางวัล PFA Team Of The Year , รางวัล ผู้เล่นยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ต่อมาในฤดูกาล 2018-19 ความปังของ เดอ บรอยน์ ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเขาสามารถพาทีมคว้า ทริปเปิลแชมป์ (แชมป์พรีเมียร์ลีก , แชมป์เอฟเอ คัพ , แชมป์ลีกคัพ )มาครองได้อย่างสวยงาม ต่อเนื่องมาในฤดูกาล 2019-20 เขาสามารถทำแอสซิสต์ได้อย่างมากมายกว่า 20 แอสซิสต์ ซึ่งกลายเป็นสถิติใหม่ในการทำแอสซิสต์มากที่สุดในฤดูกาลอีกด้วย และในฤดูกาล 2020-21 เขาได้สร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเอง โดยการทำแอสซิสต์ให้กับ ทัพเรือใบสีฟ้า ได้ครบ 100 ครั้ง เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2020 และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้อีกครั้ง
และในฤดูกาลปัจจุบัน 2021-22 เขาก็เป็นนักเตะคนสำคัญของทีม ที่มุ่งหวังพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองให้ได้อีกครั้ง ซึ่งในตอนนี้ ทัพเรือใบสีฟ้า ก็มีคะแนนนำเป็นจ่าฝูงอีกด้วย และมากไปกว่านั้น คือ การคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองให้ได้อีกหนึ่งรายการ โดยในการแข่งขันรอบ 8 ทีม นัดที่ 1 เควิน เดอ บรอยน์ ก็คือผู้ที่ทำประตูให้กับ ทัพเรือใบสีฟ้า 1-0 และเป็นประตูที่ทำให้ทีมสามารถเข้ารอบไปแข่งในรอบรองชนะเลิศได้อย่างสำเร็จ เนื่องจากในนัดที่ 2 ทั้งสองทีมมีคะแนนเสมอกัน 0-0
หากนับตั้งแต่ เควิน เดอ บรอยน์ ย้ายเข้ามาเป็นนักเตะคนสำคัญของ ทัพเรือใบสีฟ้า เขาสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปแล้วถึง 3 สมัย , แชมป์ เอฟเอ คัพ อีก 1 สมัย และ แชมป์ลีก คัพ อีก 5 สมัย ซึ่งโทรฟี่เดียวที่ยังคว้ามาไม่ได้ คือ โทรฟี่บิ๊กเอียร์ จาก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และแน่นอนว่า เควิน เดอ บรอยน์ เครื่องจักรสังหารคู่ต่อสู้คงจะระเบิดฟอร์มของเขา เพื่อคว้าแชมป์ในรายการที่เขารอคอยนี้มาได้สำเร็จอย่างแน่นอน
